โอ้ยย..ปวดคอบ่าหลังจังเลย เราเป็นอะไรกันน้าา ??? 

โดย กภ. ฉัทชนันท์ วรสุทธยางกูร

นักกายภาพบำบัดเฉพาะทาง

โรคที่พบบ่อยของเราชาว Office ก็คือ กลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง Office syndromeนั่นเองค่าาาา แล้วมันมีมาจากโรคอะไร วันนี้เราจะมีให้ความรู้ และแนวทางกการรักษากันค่ะ 

อาการปวดเรื้อรังที่พบได้บ่อยที่สุดที่ทำให้คนมาพบนักกายภาพบำบัด ก็คือ กลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง (Myofascial pain syndrome: MPS) ซึ่งอาจต้องแยกอาการจากกลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและพังผืดไฟโบรมัยอัลเจีย (Fibromyalgia: FM)

เนื่องจากอาการบางอย่างที่คล้ายกันมาก เช่น ลักษณะอาการปวด จะปวดบริเวณเดียวกันและปวดเรื้อรังเหมือนกัน ไม่มีประวัติอุบัติเหตุก่อนมีอาการปวด เป็นต้น ดังนั้น หมอขอแยกอาการปวดไว้ดังนี้ค่ะ 

ระยะเวลาที่เป็น : มักเป็นมานานมากกว่า 3 เดือน 

อาการ : ปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังที่เกิดกับกล้ามเนื้อ “เฉพาะที่” เท่านั้น เช่น ปวดคอบ่าไหล่ ปวดหลัง ปวดแขน ปวดข้อมือ มักมีอาการปวดร้าว (referred pain) ไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ขึ้นอยู่กับแต่ละกล้ามเนื้อที่มีจุดกดเจ็บที่ซ่อนอยู่ในกล้ามเนื้อ หรือเรียกว่า trigger point: (TrP)  และจำกัดอยู่บริเวณใดบริเวณหนึ่งของร่างกาย อันเนื่องมาจากหากเกิดการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อใด ก็มีอาการตามกล้ามเนื้อนั้น ๆ ไม่มีการกระจายไปทั่วร่างกาย 

ระยะเวลาที่เป็น : มักเป็นมานานมากกว่า 3 เดือน 

อาการ : ปวดเรื้อรังที่สามารถเกิดได้บริเวณกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น หรือเนื้อเยื่ออ่อนของร่างกาย ที่มีรูปแบบการกระจายของอาการทั่วร่างกาย (chronic widespread pain) โดยบริเวณที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ ศีรษะ คอ บ่า และหลัง บางรายปวดทั้งตัว นอกจากอาการปวดยังอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมได้ เช่น อาการอ่อนเพลีย นอนหลับไม่สนิท รวมถึงความเครียดและอารมณ์ซึมเศร้า เป็นต้น โดยอาการปวดแบบกระจายทั่วร่างกายนี้ สามารถมีจุดกดเจ็บได้อย่างน้อย 11-18 จุด และมีอาการปวดแบบสมมาตร คือ มีอาการเหมือนกันทั้งสองข้างของร่างกาย และอาการปวดดังที่กล่าวมานี้เป็นมากกว่า 3 เดือนขึ้นไป 

การวินิจฉัย

สำหรับการวินิจฉัย โรคกลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง (Myofascial pain syndrome) จะมีเกณฑ์การวินิจฉัยและการตรวจร่างกายที่ใช้กันอย่างแพร่หลายตามมาตรฐานการวินิจฉัยโรค แต่โรค ปวดกล้ามเนื้อและพังผืด (Fibromyalgia) สามารถวินิจฉัยได้หลังจากแยกโรคที่น่าจะเป็นอื่นๆไปแล้วนั่นเองค่ะ 

แนวทางการรักษา หมอขอแยกง่ายๆ เป็นการไม่ใช้ยา และ การใช้ยา เพื่อความเข้าใจ และเห็นภาพง่ายๆ นะคะ 

  1. การรรักษาโดยการใช้ยา 

คือ การใช้ยากลุ่มคลายกล้ามเนื้อ ยาแก้ปวดพาราเซตามอล ยาลดปวดรุนแรงในกลุ่มที่ไม่ใช่ยาสเตียร์รอย (NSAIDs) ยาแก้ปวดรุนแรงกลุ่มโอพิออยด์ (Opioids) หากอาการปวดมากขึ้นอาจจะต้องใช้ยาเสพย์ติด เช่น มอร์ฟีน เป็นต้น ซึ่งยาแต่ละตัวจะมีผลข้างเคียงแตกต่างกันไปจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนได้รับยารักษาค่ะ 

ข้อระวัง!!! อย่าซื้อยาชุดรับประทานเองนะคะ เพราะยาชุดบางตัวที่ราคาถูก มักจัดยาที่มีส่วนผสมของสเตียด์รอยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษา แต่ไม่ได้คำนึงถึงโทษของยาหากได้รับยาเกินขนาดซึ่งจะที่ให้เกิดอาการคุชชิ่งซินโดรม ตับพัง ไตฟัง ผิวหนังเปราะบาง การรักษาจึงจำเป็นต้องให้แพทย์ที่ได้รับใบประกอบวิชาชีพเป็นผู้ประเมินความจำเป็นทุกครั้งค่ะ

  1. การรักษาโดยไม่ใช้ยา (Non-Medication)

มีหลายวิธี การนวดผ่อนคลาย การฝังเข็ม (Accupuncture) รมยา การอัลตราซาวด์ ช็อคเวฟ (Shockwave) การกดจุด การกระตุ้นไฟฟ้า การออกกำลังกาย เป็นต้น 

หมอขอเน้นวิธีนี้เนื่องจากเป็นวิธีที่ปลอดภัย เฉพาะที่ และได้ผลการรักษาที่ดีค่ะ ซึ่ง “นักกายภาพบำบัด” จะมีส่วนสำคัญมากๆในการรักษาแบบนี้ เนื่องจากมีความรู้เกี่ยวกับตัวโรคเป็นอย่างดี ทราบเกี่ยวกับโครงสร้างอนาโตมี่หรือโครงสร้างกล้ามเนื้อของร่างกายที่เกาะตามจุดต่างๆ แนะนำให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับโรค รวมถึงทราบอันตรายเกี่ยวกับตำแหน่งที่รักษา หรือหากผุ้ป่วยมีอายุมาก หรือมีโรคประจำตัว “นักกายภาพบำบัด” ก็จะสามารถดูแลเข้าถึงผู้ป่วยได้อย่างปลอดภัยภายใต้คำแนะนำของแพทย์ค่ะ 

  1. การนัดผ่านระบบ line official account ในวัน-เวลา ที่นักกายภาพออกตรวจ (สามารถลงนัดระบุนักกายภาพได้เลยค่ะ)
  2. พบนักกายภาพบำบัดตามวัน-เวลาที่นัดตรวจ  (หากมีโรคประจำตัว ควรนำประวัติการรักษา และยาที่กินมาด้วยทุกครั้ง)
  3. หากมีประกันสุขภาพผู้ป่วยนอกให้แจ้งนักกายภาพบำบัดทุกครั้ง เพื่อขอใบรับรองแพทย์นำไปเบิกค่ารักษาพยาบาล หากประกันใดที่มีชื่อคลินิกร่วมด้วย คลินิกสามารถขอยื่นเคลมได้เลยค่ะ 
  4. นักกายภาพบำบัดจะที่การประเมินโครงสร้างร่างกาย และตรวจเช็คโรคที่เป็นเบื้องต้นทำการรักษาตามความเหมาะสมกับตัวโรค หากมีอาการมากจะใช้ยาหรือการฝังเข็มร่วมด้วย ซึ่งจำเป็นต้องพบแพทย์ร่วมด้วยค่ะ
  5. ทำการรักษาโดยนักกายภาพบำบัดตามแต่ละโรค 
  • ราคา ครั้งละ 2,000 บาท ได้ทั้งเครื่อง ทั้งจัด ดัด ดึง ใช้เครื่องมือกายภาพ และยังแถมๆๆๆๆ เทรนเนอร์ในการออกกำลังกายเพื่อรักษาด้วยนะคะ 
  1. การนัดผ่านระบบ line official account ในวัน-เวลา ที่แพทย์แผนจีนออกตรวจ (สามารถลงนัดระบุนักกายภาพได้เลยค่ะ)
  2. พบแพทย์แผนจีน ตามวัน-เวลาที่นัดตรวจ  (หากมีโรคประจำตัว ควรนำประวัติการรักษา และยาที่กินมาด้วยทุกครั้ง)
  3. หากมีประกันสุขภาพผู้ป่วยนอก ให้แจ้งแพทย์แผนจีนทุกครั้ง เพื่อขอใบรับรองแพทย์นำไปเบิกค่ารักษาพยาบาล หากประกันใดที่มีชื่อคลินิกร่วมด้วย คลินิกสามารถขอยื่นเคลมได้เลยค่ะ 
  4. แพทย์แผนจีนจะที่การประเมินโครงสร้างร่างกาย และตรวจเช็คโรคที่เป็นเบื้องต้นทำการรักษาตามความเหมาะสมกับตัวโรค หากมีอาการมากจะใช้ยาหรือการฝังเข็มร่วมด้วย ซึ่งจำเป็นต้องพบแพทย์ร่วมด้วยค่ะ
  5. ทำการรักษาโดยแพทย์แผนจีนตามความจำเป็นแต่ละโรค 
Scroll to Top