เรียบเรียงโดยหมอรัตน์
พญ. รัตน์นภัส ตั้งมะโนมานะ
แพทย์สูติ-นรีเวช เฉพาะทางด้านมะเร็งนรีเวช

เนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูก (Myoma uteri, leiomyoma หรือ uterine fibroid) คือ เซลล์เนื้องอกที่เจริญมากจากกล้ามเนื้อมดลูกนั่นเองค่ะ เป็นโรคที่เป็นพบมากในสาวๆ ถึงวัยก่อนหมดประจำเดือน พบได้สูงถึงเกือบ 70 เปอร์เซนต์ของสาวๆเลยค่ะ โดยพบมากในช่วงวัยใกล้หมดประจำเดือน เนื้องอกชนิดนี้มีโอกาสเป็นมะเร็งน้อยมาก
เนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูก ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ (Asymtomatic) ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีการตรวจคัดกรองอัลตร้าซาวน์ สาวๆจึงมักมาหาหมอตั้งแต่ยังไม่มีอาการค่ะ ซึ่งสามารถตรวจได้อย่างแม่นยำกว่าการตรวจภายในหรือคลำจากทางหน้าท้อง ทำให้พบก้อนเนื้องอกชนิดนี้ตั้งแต่ยังไม่แสดงอาการ หรือมีขนาดเล็กค่ะ
อาการที่สาวๆจะเกิดเมื่อมีเนื้องอกมดลูก สรุปได้ ดังนี้
- เลือดออกผิดปกติจากโพรงมดลูก หรือประจำเดือนมามาก
- ก้อนกดเบียดอวัยวะอื่นที่ท้องน้อย เช่น กระเพาะปัสสาวะ ท่อไต ลำไส้ เป็นต้น
- อาการปวดท้องน้อย ทั้งเป็นแบบสัมพันธ์ และไม่สัมพันธ์กับรอบเดือน มีอาการเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ หรือมีอาการปวดระดู ได้ค่ะ
- ภาวะมีบุตรยาก พบเป็นสาเหตุอย่างเดียวได้น้อย เพียง 2-3 เปอร์เซนต์ จากกลไกที่เนื้องอกรบกวนการเดินทางหรือการฝังตัวของตัวอ่อน ส่วนใหญ่มีสาเหตุอื่นร่วมค่ะ
อาการของเนื้องอกมดลูกที่มีขนาดโตขึ้น ทั้งหมดเกิดได้เพียง 25-50 เปอร์เซนต์เท่านั้นค่ะ ถ้ามีการกดเบียด สาวๆจะมาด้วยอาการปัสสาวะบ่อยหรือปัสสาวะไม่ออก หากใหญ่มากก้อนอาจไปกดเบียดท่อไตทำให้มีภาวะไตบวม แต่สาวๆอาจจะมีอาการเพียงปวดท้องน้อย หรือแน่นท้องเท่านั้น ซึ่งต้องแยกจากภาวะอื่น เช่น การตั้งครรภ์ เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Adenomyosis) เป็นต้น ก้อนในกล้ามเนื้อมดลูกจะทำให้การบีบตัวของมดลูกเพื่อหยุดเลือดประจำเดือนไม่ดี หรือหากก้อนไปกดเบียดโพรงมดลูก หรือก้อนในโพรงมดลูก จะทำให้มีเลือดออกมากผิดปกติได้ค่ะ ซึ่งต้องพิจารณาแยกจากโรคมะเร็งโพรงมดลูกในสาวๆที่อายุมากกว่า 35-40 ปี ขึ้นไป โดยการเก็บชิ้นเนื้อตามความเหมาะสมค่ะ
การที่เราจะบอกว่าเป็นโรคเนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูกนี้ ส่วนใหญ่จะใช้วิธีการอัลตร้าซาวน์ เพื่อดูลักษณะ ตำแหน่ง และจำนวนก้อน หากก้อนมีขนาดใหญ่ หรือสงสัยมะเร็ง แพทย์อาจพิจารณาใช้การตรวจละเอียดเพิ่มเติม เช่น การตรวจ เอ็มอาร์ไอ (MRI) เพื่อแยกมะเร็งกล้ามเนื้อมดลูก หรือการทำ ซีทีแสกน (CT scan)เพื่อยืนยันตำแหน่งก้อน หากมีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด จะมีการเก็บชิ้นเนื้อโพรงมดลูก หรือทำการผ่าตัดเนื้องอกหรือมดลูก เพื่อได้ผลชิ้นเนื้อในการวินิจฉัยตามความเหมาสมค่ะ
ปัจจัยที่เนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูก ส่วนใหญ่จะสัมพันธ์กับอายุที่เพิ่มขึ้น คนผิวสี มีประวัติครอบครัว โรคความดันโลหิตสูง ภาวะอ้วน อาจเพิ่มความเสี่ยงการเป็นเนื้องอกมดลูกได้ แต่ปัจจัยที่แท้จริงยังไม่ชัดเจนนะคะ เพราะการศึกษามีความน่าเชื่อถือจำกัด
การพัฒนาของเนื้องอกมดลูก ไม่สามารถบอกได้ชัดเจน อาจเกิดได้โดยความผิดปกติทางโครโมโซมของเนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูก และความไวต่อฮอร์โมนของเนื้องอก โดยเฉพาะฮอร์โมนเอสโตรเจน แต่อาจเกิดจากฮอร์โมนโปรเจสเตอร์โรนได้ทั้งที่ปกติฮอร์โมนนี้ จะกดการทำงานของเนื้องอกมดลูกปกติ เนื่องจากเนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูกจะมีตัวรับฮอร์โมนเหล่านี้มากขึ้นนั่นเองค่ะ พูดง่ายๆก็คือ ตัวรับฮอร์โมนของเนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูกเพิ่มขึ้น เนื้องอกก็โตขึ้นค่ะ นอกจากนี้ การมีระดับวิตามินดีที่ต่ำหรือการได้รับสารคล้ายเอสโตรเจนจากสิ่งแวดล้อม เช่น สารบีพีเอ (BPA) จีนีสเทอิน (Genistein) สารอาหารในกลุ่มไฟโตรเอสโตรเจน (phytoestrogen) อาจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นเนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูก
กลไกที่เกิดการกระตุ้น อาจจะเกิดผ่านการกระตุ้นทางพันธุกรรมหรือยีน ได้ทั้งทางตรงหรือทางอ้อม และเกิดจากกลไกที่ไม่ผ่านยีนก็ได้ค่ะ บางกลไกอาจเกิดจากการทำงานที่ผิดปกติที่นอกจากยีน เราเรียกว่า “อีพีเจเนติก (Epigenetics)” ซึ่งยากขึ้นไปอีกกกกกกก ค่ะ ดังนั้น ขอสรุปง่ายๆ เลยคือ เนื้องอกมดลูกจึงสามารถเกิดได้เองแม้ไม่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ และสัมพันธ์กับภาวะที่มีฮอร์โมนมากระตุ้นเนื้องอกทั้งทางตรงและทางอ้อมค่ะ
เนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูกเป็นสามารถเกิดเป็นมะเร็งได้หรือไม่ ?
ได้ค่ะ แต่โอกาสเกิดน้อยมากค่ะ คือน้อยกว่า 5 รายใน 1,000 ราย (0.23-0.29 เปอร์เซนต์) ของผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดด้วยเรื่องเนื้องอกมดลูก จะเป็นมะเร็งกล้ามเนื้อมดลูก หรือที่เรียกว่า ไลโอไมโอซาโคม่า (Leiomyosarcoma) นั่นเองค่ะ
วิธีการรักษาเนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูก
หมอจะแบ่งง่ายๆเป็นการรักษา 3 แบบค่ะ ขึ้นอยู่กับอายุ อาการ และความต้องการมีลูกค่ะ
- การใช้ยา
- การผ่าตัด
- การไม่ใช้ยาและไม่ผ่าตัด
- การใช้ยา
ใช้เมื่อมีอาการ ประจำเดือนมามาก (ที่แยกโรคมะเร็งออกไปแล้ว) หรือ อาการปวดท้องน้อย ที่ไม่ได้เกิดจากการกดเบียดของก้อน
เหมาะกับ วัยใกล้หมดประจำเดือน , ก่อนการผ่าตัด เพื่อลดขนาดก้อน
หมอขอแบ่งให้ง่ายขึ้นเพื่อสะดวกต่อการทำความเข้าใจ และขอยกเฉพาะยาที่แพร่หลายในปัจจุบัน ดังนี้
- ยาที่ไม่ใช่ฮอร์โมน เช่น กลุ่มยาแก้ปวดลดการอักเสบ (NSAIDs) และ ยาชะลอเลือด (Transamic acid)
- ยาฮอร์โมน เช่น ยาคุมกำเนิด ชนิดกินหรือฉีด การใส่ห่วงคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมน (levonorgestrel IUD, LNG-IUDs)
** ยาเพียงช่วยชะลอเลือด และรอให้เข้าสู่วัยหมดระดู ไม่มีผลต่อการลดขนาดของก้อน หรือลดอาการกดเบียดของก้อนนะคะ เพราะเราเชื่อว่าเนื้องอกเกิดจากการกระตุ้นของฮอร์โมนวัยสาวนั่นเองค่ะ
- ยากดการทำงานของฮอร์โมนผ่านต่อมใต้สมอง (GnRH analogs) ตัวนี้ สามารถลดเลือดออก ลดขนาดก้อนได้ประมาณ 30 เปอร์เซนต์ค่ะ โดยกลไกคือทำให้เราเหมือนเป้นคนวัยทอง ดังนั้น ไม่แนะนำให้ใช้นานกว่า 6 เดือน เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุน หากมีการใช้นานกว่านั้น แพทย์จะให้ยาที่เรียกว่า เอสโตรเจนภายนอกเสริม หรือ add-back therapy ด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจนร่วมกับโพรเจสเตอร์โรนค่ะ
** ส่วนใหญ่ยาจะถูกนำมาใช้เพื่อลดขนาดก้อนทำให้การผ่าตัดง่ายขึ้น เพราะก้อนเล็กลงนั่นเองค่ะ
- การผ่าตัด
ยังต้องการมีบุตร
การผ่าตัดทำเมื่อก้อนกดเบียดอวัยวะข้างเคียง ประจำเดือนมามาก หรือภาวะมีบุตรยาก ซึ่งหมอจะประเมินความเหมาะสมในแต่ละราย ทั้งขนาดและตำแหน่งเนื้องอก ค่ะ
- เนื้องอกในโพรงมดลูก : แพทย์จะทำการประเมินตามความเหมาะสม หากก้อนขนาดไม่ใหญ่มาก ส่วนใหญ่ไม่เกิน 3 เซนตติเมตร สามารถส่องกล้องเพื่อตัดชิ้นเนื้อได้ค่ะ (Hysteroscopic myomectomy) หากใหญ่กว่านั้น แพทย์อาจจะใช้ยาเพื่อให้ก้อนเล็กลง (GnRH analogs) ค่ะ
- เนื้องอกในกล้ามเนื้อมดลูก : แพทย์จะแนะนำการผ่าตัดเอาก้อนเนื้องอกออก (Myomectomy) หากมีภาวะแทรกซ้อนของก้อนเนื้องอก ทั้งด้านอาการ เช่น การปวดท้องน้อย ตกเลือด หรือ ภาวะกดเบียดอวัยวะข้างเคียง บางรายถ้าก้อนไปกดเบียดท่อนำไข่อาจช่วยเรื่องการมีบุตรได้ค่ะ วิธีการผ่าตัดมีได้ตั้งแต่การส่องกล้อง (laparoscopic myomectomy) และการเปิดหน้าท้อง (opened myomectomy)
ไม่ต้องการมีบุตรแล้ว
- ส่วนใหญ่ถ้าก้อนใหญ่มากและมีอาการข้างเคียงเช่นตกเลือดใช้ยาแล้วไม่ดีขึ้น หรือมีการกดเบียดของก้อน แพทย์จะแนะนำการผ่าตัดมดลูกค่ะ วิธีการผ่าตัด มี 3 แบบ หลักๆ ได้แก่
- ส่องกล้องเพื่อตัดชิ้นเนื้อ (Hysteroscopic myomectomy) นิยมทำในเนื้องอกโพรงมดลูก ขนาดไม่เกิน 3 เซนตติเมตร ค่ะ
- การผ่าตัดเอาก้อนเนื้องอกออก (Myomectomy)
- การตัดมดลูก (Hysterectomy) ***ถ้าไม่ต้องการมีบุตรแล้ว การรักษาวิธีนี้เป็นที่นิยม ค่ะ เนื้อจากเสียเลือดน้อยกว่า
โดยวิธีการผ่าตัดก้อนเนื้องอกและกรตัดมดลูก มีทั้งแบบส่องกล้อง และแบบเปิดหน้าท้อง เช่นกันค่ะ
- ข้อดีของการผ่าตัด : ทราบผลชิ้นเนื้อที่แท้จริงว่าไม่เป็นเนื้อร้ายแน่ๆค่ะ เป็นการผ่าตัดมาตรฐาน
- ข้อเสียของการผ่าตัด : เจ็บตัว เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น เสียเลือด ติดเชื้ออันตรายของการผ่าตัดเช่น โดนอวัยวะข้างเคียง เป็นต้น
- การไม่ใช้ยาและไม่ผ่าตัด ด้วยเทคโนโลยี HIFU (High Intensity Focused Ultrasound Ablation System) คือ อะไร หมอจะกล่าวในหัวข้อต่อไปค่ะ


