ตรวจสอบความถูกต้อง
โดย พญ. รัตน์นภัส ตั้งมะโนมานะ
หมอสูติ-นรีเวช และมะเร็งนรีเวช
สาเหตุของตกขาว
ตกขาว ระดูขาว (Leukorrhea หรือ Vaginal discharge) เกิดจากสิ่งคัดหลั่งทางช่องคลอด หากมีการอักเสบทางปากมดลูกหรือตัวมดลูกเองก็อาจทำให้มีตกขาวออกมาได้เช่นกันค่ะ โดยถือเป็นภาวะปกติของผู้หญิงทุกคน ซึ่งในช่วงเด็กอาจมีเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มมีประจำเดือน ตกขาวจะมีมากขึ้นและมีปริมาณที่พอเหมาะไปจนถึงวัยสูงอายุ ซึ่งจะเป็นช่วงที่ตกขาวมีปริมาณลดลงจนแทบไม่มีอีกครั้ง
อาการตกขาวปกติ
ตกขาวปกติ หรือ ตกขาวธรรมดา (Physiologic vaginal discharge) จะมีลักษณะเปลี่ยนแปลงไปตามรอบประจำเดือน โดยขึ้นอยู่กับปริมาณของฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ถ้าเป็นในช่วงกึ่งกลางรอบเดือน ตกขาวจะมีลักษณะเป็นมูกเหลวใส ไม่มีสี แต่ถ้าเป็นในช่วงก่อนหรือหลังมีประจำเดือนตกขาวจะมีลักษณะข้นเป็นสีออกขาว (คล้ายแป้งเปียก) โดยตกขาวที่เป็นปกตินั้นจะมีลักษณะเป็นมูกเหลวใส ไม่มีสี หรือเป็นสีขาวข้นคล้ายแป้งเปียก มีปริมาณเล็กน้อยพอชุ่มชื้นในช่องคลอด อาจมีกลิ่นจำเพาะได้บ้างเล็กน้อยตามลักษณะของกลิ่นตัวเฉพาะบุคคล มีภาวะเป็นกรดอ่อน ๆ และจะไม่เหม็น ไม่คัน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย (เช่น ปวดท้อง มีไข้ ขัดเบา) ส่วนปริมาณของตกขาวนั้นจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน แต่โดยทั่วไปแล้วปริมาณของตกขาวจะมากขึ้นได้เป็นปกติในภาวะต่อไปนี้
- ในช่วงก่อนและหลังการมีประจำเดือน ตกขาวจะมีลักษณะข้นเป็นสีออกขาว (คล้ายแป้งเปียก) ส่วนในช่วงที่เป็นประจำเดือน ตกขาวจะมีลักษณะหนาและเหนียวข้น
- ในช่วงกึ่งกลางระหว่างรอบเดือน (ระยะตกไข่) ตกขาวจะมีปริมาณมากและมีลักษณะเหลวใส
- ในขณะตั้งครรภ์ ผู้หญิงจะมีตกขาวมากขึ้นจนบางครั้งอาจจะเหนียวหนืด (แต่หลังวัยหมดประจำเดือน ผู้หญิงจะมีตกขาวน้อยลง)
- การกระตุ้นทางเพศสัมพันธ์ (ในขณะที่มีอารมณ์ทางเพศจะทำให้มีการหลั่งน้ำออกมาหล่อลื่นมากขึ้น) หลังจากมีเพศสัมพันธ์ก็จะมีตกขาวมากขึ้นได้เช่นกัน
“ตกขาวเกิดขึ้นได้ตามปกติ ตกขาวมามาก มาน้อย ตามฮอร์โมนของร่างกาย สิ่งกระตุ้นและยาที่ใช้ค่ะ ถ้าตกขาวมีกลิ่น คัน หรือแสบ หรือมีอาการอื่น เช่น มีไข้ ปวดท้องน้อย มีกพบในตกขาวที่ผิดปกติค่ะ”
ตกขาวผิดปกติ
ส่วนใหญ่มักมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อของอวัยวะในระบบสืบพันธุ์เพศหญิง (ทั้งการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์และการติดเชื้อที่ไม่เกี่ยวข้องกับเพศสัมพันธ์) และมีส่วนน้อยที่ตกขาวผิดปกติไม่ได้มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ ดังนี้
1. เชื้อแบคทีเรีย
(Bacterial vaginosis หรือ ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย) เป็นการติดเชื้อที่พบได้เป็นส่วนใหญ่ประมาณ 50% การติดเชื้อชนิดนี้มักพบในในสตรีที่ชอบสวนล้างช่องคลอด ผู้ที่คุมกำเนิดโดยการใส่ห่วงอนามัย ผู้ที่รับประทานยาปฏิชีวนะต่อเนื่องเป็นเวลานาน มีการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ หรืออาจเกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา หรืออาหารบางอย่าง (เช่น อาหารหมักดอง อาหารคาวจัด) ผู้หญิงบางคนที่ติดเชื้อชนิดนี้อาจไม่มีอาการใด ๆ แสดงออกมาก็ได้ อย่างไรก็ตาม ภาวะนี้อาจทำให้เกิดอาการตกขาวผิดปกติ (ตกขาวมีปริมาณมากขึ้น อาจเหลวใสหรือเป็นสีขาวเนียนปนเทาอ่อน มีกลิ่นอับคล้ายกลิ่นคาวปลา ส่วนระดับความรุนแรงของกลิ่นแต่ละคนก็แตกต่างกันไป บางคนอาจไม่มีกลิ่น บางคนอาจมีกลิ่นแรงจนคนใกล้ตัวได้กลิ่น) และอาจมีอาการระคายเคืองหรือคันบริเวณช่องคลอด แสบร้อนเวลาปัสสาวะ ซึ่งอาการจะรุนแรงขึ้นโดยเฉพาะหลังร่วมเพศ
2. เชื้อทริโคโมแนส
(Trichomoniasis หรือ โรคพยาธิในช่องคลอด) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อโปรโตซัวที่มีชื่อว่า “ทริโคโมแนส วาจินาลิส” (Trichomonas vaginalis) เป็นการติดเชื้อที่พบได้ประมาณ 25% แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่แสดงอาการใด ๆ มีเพียง 30% ของผู้ป่วยเท่านั้นที่จะแสดงอาการของโรค โดยจะทำให้มีตกขาวผิดปกติ เช่น ตกขาวเป็นสีเหลืองหรือสีเขียว มีปริมาณมากขึ้น มีกลิ่นเหม็นออกเปรี้ยวเล็กน้อย ตกขาวมีลักษณะเป็นฟอง (ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของการติดเชื้อชนิดนี้) มีอาการบวม แดง คัน หรือรู้สึกแสบบริเวณอวัยวะเพศ, ปวดปัสสาวะบ่อย, เจ็บปวดขณะปัสสาวะหรือมีเพศสัมพันธ์ อาจมีเลือดไหลออกจากช่องคลอดแบบกะปริดกะปรอยหรือไหลออกมามาก
3. เชื้อรา
(Vaginal candidiasis หรือ โรคเชื้อราในช่องคลอด) เป็นการติดเชื้อที่พบได้ประมาณ 25% โดยเฉพาะจากเชื้อรา “แคนดิดา อัลบิแคนส์” (Candida albicans) ที่พบได้มากที่สุดซึ่งจะทำให้มีตกขาวที่ผิดปกติไปจากเดิม คือ ตกขาวเป็นสีขาวข้นคล้ายคราบนมหรือเป็นสีเหลืองขาว มีขนาดเล็กเป็นก้อนคล้ายนมบูด มีกลิ่นเหม็นอับ แต่ไม่มีกลิ่นคาว ร่วมกับมีอาการคันอย่างมากและระคายเคืองปากช่องคลอดหรือภายในช่องคลอด, ปากช่องคลอดมีอาการบวมแดง, มีอาการแสบร้อนเมื่อปัสสาวะหรือมีเพศสัมพันธ์, อาจเกิดผื่นแดงทั้งภายในและภายนอกช่องคลอด โดยอาจกระจายไปทั่วบริเวณหัวหน่าว อวัยวะเพศหรือต้นขา การติดเชื้อชนิดนี้ส่วนใหญ่แล้วจะมีสาเหตุมาจากความอับชื้น, การใช้ยาปฏิชีวนะ, การใช้ยาสเตียรอยด์, การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด, ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ, ผู้ป่วยโรคเบาหวาน, ผู้ติดเชื้อเอดส์หรือโรคเชื้อราในช่องคลอด, หญิงตั้งครรภ์, ความเครียด เป็นต้น การสวมใส่เสื้อผ้าที่อบมากเกินไป การมีสภาพร่างกายที่อ้วนมาก รวมทั้งสภาพอากาศในบ้านเราที่ร้อนชื้นเป็นพิเศษ จะเหมาะแก่การเจริญเติบโตของเชื้อราเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้หญิงไทยเรามีการติดเชื้อราในช่องคลอดได้ง่ายมาก บางทีอยู่เฉย ๆ ยังไม่ได้ทำอะไรก็ยังเป็นเชื้อราในช่องคลอดได้ ซึ่งผิดกับผู้หญิงในเมืองหนาวที่มีจะมีการติดเชื้อราน้อยกว่า เพราะส่วนใหญ่จะเกิดเฉพาะในรายที่เป็นโรคเบาหวานหรือเป็นโรคต้องรับประทานยากดภูมิต้านทานบางอย่าง
4. เชื้อไวรัส
เกิดจากการติดโรคทางเพศสัมพันธ์ ส่วนใหญ่เป็นเชื้อ “เฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์” (Herpes simplex) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเริม ทำให้มีตุ่มใส ๆ ขนาดเล็ก ต่อมาจะแตกออกกลายเป็นแผลและแสบคัน มีตกขาวสีเหลือง มีกลิ่นผิดปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครั้งแรกที่ปรากฏอาการ
5. เชื้อบัคเตรีชนิดอื่น ๆ
เช่น เชื้อสแตฟีโลค็อกคัส (Staphylococcus), สเตรปโตค็อกคัส (Streptococcus) เป็นต้น ทั้งนี้อาจพบเชื้อต้นเหตุได้มากกว่า 1 ชนิดก็ได้
6. เชื้อวัณโรค
เชื้อชนิดนี้พบได้น้อยมาก
7. เกิดจากเนื้องอกอวัยวะสืบพันธุ์หญิง
เป็นสาเหตุที่พบได้รองลงมาจากการติดเชื้อ ไม่ว่าจะเป็นเนื้องอกไม่ร้ายแรงหรือมะเร็งก็ตาม ก็อาจทำให้เกิดอาการตกขาวได้ โดยโรคมะเร็งที่มักก่ออาการตกขาวผิดปกติ คือ โรคมะเร็งช่องคลอด โรคมะเร็งปากมดลูก และโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
8. เกิดจากการมีวัตถุแปลกปลอมในช่องคลอด
ทำให้ผนังช่องคลอดระคายเคือง มีตกขาวเพิ่มมากขึ้นและมักมีกลิ่นเหม็น ในเด็กอาจพบเป็นเมล็ดผลไม้ เศษกระดาษ เศษลูกโป่ง ส่วนในผู้ใหญ่อาจพบเป็นผ้าอนามัยชนิดสอด กระดาษชำระ สำลี เศษยาง ถุงยางอนามัย หรืออุปกรณ์ทางเพศ แต่เมื่อเอาวัตถุแปลกปลอมเหล่านี้ออกแล้วก็จะหายเป็นปกติ
การวินิจฉัยตกขาว
หากพบว่ามีตกขาวที่ผิดปกติ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจสาเหตุและรับการรักษา โดยเบื้องต้นแพทย์จะทำการซักประวัติสุขภาพ การเจ็บป่วยที่ผ่านมาหรือที่เป็นอยู่ การรักษา การใช้ยา ประวัติการมีเพศสัมพันธ์ และอาการของตกขาวที่พบ เช่น สีและกลิ่นของตกขาว อาการที่เกิดขึ้นร่วมด้วย และช่วงเวลาที่เริ่มมีตกขาวที่ผิดปกติ (ไม่ควรไปตรวจในช่วงที่มีประจำเดือน และผู้ป่วยห้ามทำความสะอาดหรือใช้สเปรย์พ่นช่องคลอดก่อนเข้ารับการตรวจ เพราะอาจไปดับกลิ่นที่ช่วยในการวินิจฉัยและอาจเกิดการระคายเคืองตามมาได้)
หากพบสัญญาณความผิดปกติ แพทย์จะทำการตรวจภายในเพื่อตรวจสอบอวัยวะบริเวณอุ้งเชิงกรานและหาสัญญาณของการติดเชื้อภายใน, ตรวจตกขาว โดยนำตัวอย่างของตกขาวที่เก็บได้ภายในช่องคลอดออกมาตรวจโดยใช้กล้องจุลทรรศน์ และตรวจวัดค่า pH เพื่อตรวจสอบความเป็นกรดภายในช่องคลอด (ค่า pH 4.5 หรือมากกว่า) เป็นต้น
วิธีการรักษาตกขาว
สำหรับตกขาวปกติ (ตกขาวธรรมดา) ไม่จำเป็นต้องทำการรักษาแต่อย่างใด เพียงแต่ปฏิบัติตนให้ถูกต้องตามสุขอนามัยก็เพียงพอแล้ว แต่หากเป็นตกขาวที่ผิดปกติ หรือตกขาวที่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย หรือสงสัยว่าอาจมีสาเหตุที่ผิดปกติเกิดขึ้น ควรปรึกษาแพทย์หรือสูตินรีแพทย์เพื่อทำการตรวจภายในช่องคลอดและให้การรักษาไปตามสาเหตุที่ตรวจพบค่ะ
“การใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อทริโคโมแนสควรอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ ผู้ป่วยไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง เพราะอาจมีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ โดยเฉพาะเมื่อคุณกำลังตั้งครรภ์หรือใช้ต้องใช้ยาติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน”
เนื่องจากปัจจุบัน มีการซื้อยาเองมากขึ้นทำให้อัตราการดื้อยามากขึ้น ที่คลินิกจึงมีการนำยาที่ไม่ได้ขายทั่วไปตามร้านขายยามาใช้ ซึ่งคนไข้จะได้รับบริการที่คลินิกเลย เพื่อประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นค่ะ
แพคเกจตรวจตกขาว
- ตรวจภายใน ส่งตรวจตกขาว รวมสอดยาทางช่องคลอดและยากลับบ้าน ราคา 1,500 บาท *
พิเศษ เพิ่มอัลตร้าซาวน์ทางช่องคลอด ราคา 1,300 บาท (ปกติ 2,300 บาท)
แพคเกจ ตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- แพคเกจค่าตรวจแพทย์ และตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ BASIC (เฉพาะหนองในแท้ และหนองในเทียม) ราคา 2,500 บาท
- แพคเกจค่าตรวจแพทย์ และตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ PREMIUM (STI-14) (กามโรค 14 ชนิด) ราคา 3,500 บาท เพิ่ม เจาะเลือดหาค่าการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี เอดส์ และ ซิฟิลิส ราคา 800 บาท
* แพคเกจรวมยาเฉพาะตกขาวที่ไม่เกี่ยวข้องกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือภาวะวัยทองเท่านั้น หากไม่ใช่ภาวะนี้ อาจมีค่าใช้จ่ายยา หรือการส่งตรวจเพิ่มเติม ค่ะ
* ราคาเบื้องต้น อาจมีการเปลี่ยนแปลงจากตัวโรคที่เป็นค่ะ โดยทางคลินิกจะแจ้งให้ทราบทุกครั้งก่อนการให้บริการ
คำถามที่พบบ่อย
1. ตกขาวแบบไหนผิดปกติ สีของตกขาว บอกอาการอะไรบ้าง
สีใส
ตกขาวที่มีสีใสและไม่มีกลิ่น เป็นตกขาวที่ปกติ แปลว่าสุขภาพภายในช่องคลอดของคุณผู้หญิงนั้นปกติดี และได้รับการดูแลและทำความสะอาดอย่างถูกวิธี จึงไม่มีอะไรให้เป็นกังวล แต่เมื่ออายุมากขึ้น คุณอาจสังเกตได้ว่าปริมาณตกขาวนั้นจะน้อยลง เพราะยิ่งอายุมากขึ้นฮอร์โมนเอสโทรเจนก็จะน้อยลงด้วยเช่นกัน
สีขาวหรือขาวออกเหลือง
ตกขาวที่มีสีขาว หรือสีขาวออกเหลือง ก็เป็นปกติของตกขาวเช่นกัน ซึ่งถือเป็นตกขาวที่บ่งบอกว่าสุขภาพภายในช่องคลอดของคุณยังคงดีอยู่และพบได้ทั่วไป แต่ถ้าตกขาวสีขาวหรือสีออกเหลืองของคุณผู้หญิงมาพร้อมกับกลิ่นเหม็นและมีอาการคันร่วมด้วย ก็อาจบ่งบอกถึงการติดเชื้อจากเชื้อราภายในช่องคลอดได้
สีเหลืองออกเขียว
หากตกขาวของคุณผู้หญิงมีสีเหลืองปนเขียว นั่นเป็นสัญญาณว่ากำลังเกิดสิ่งผิดปกติขึ้นกับสุขภาพภายในช่องคลอดของคุณแล้ว โดยตกขาวที่มีสีเหลืองออกเขียว อาจมีกลิ่นที่ไม่ปกติร่วมด้วย และตกขาวสีนี้มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียภายในช่องคลอด หรือเกิดจากโรคทางเพศสัมพันธ์ หากพบว่าตกขาวของตนมีสีเหลืองออกเขียว ไม่ควรปล่อยไว้ และควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา
สีเทา
อีกหนึ่งสัญญาณของการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด ก็คือตกขาวที่มีสีเทาและตกขาวมีกลิ่นเหม็น มีอาการคันและระคายเคืองร่วมด้วยนั่นเอง ซึ่งหากตกขาวของคุณมีสีเทาก็ควรไปพบแพทย์ทันที ไม่เช่นนั้นอาการคันและระคายเคืองอาจจะรุนแรงขึ้นจนยากต่อการใช้ชีวิตได้
สีน้ำตาล
อีกหนึ่งสีของตกขาวที่อาจเกิดขึ้นได้ก็คือ ตกขาวสีน้ำตาล เกิดจากตกขาวที่มีเลือดปนอยู่ ซึ่งโดยปกติจะพบได้ในช่วงระหว่างรอบเดือน หรือช่วงที่ประจำเดือนเพิ่งหยุด แต่ถ้าหากมีตกขาวเป็นสีน้ำตาลในช่วงที่ไม่มีประจำเดือน คุณควรต้องพบแพทย์โดยด่วน เพราะเป็นไปได้ว่าคุณอาจมีแผลในช่องคลอด หรือความผิดปกติบางอย่าง
2. สาเหตุของตกขาวที่ผิดปกติและแนวทางการรักษา
การติดเชื้อราในช่องคลอด
การติดเชื้อราในช่องคลอด (Vulvovaginal Candidiasis) เกิดขึ้นเมื่อมีเชื้อราอยู่ในช่องคลอดของคุณผู้หญิง ซึ่งอาจเป็นได้หลายชนิด แต่ชนิดที่พบเป็นส่วนมากคือ Candida Albicans ซึ่งสาเหตุของการติดเชื้อราในช่องคลอดมีได้หลายประการ เช่น การที่ภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำลง การใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาคุมกำเนิดเป็นเวลานาน ๆ รวมถึงการมีโรคประจำตัวอย่างเบาหวาน หรืออยู่ในภาวะตั้งครรภ์ที่ทำให้มีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงกว่าปกติด้วย หากคุณเกิดติดเชื้อราในช่องคลอดก็สามารถรักษาได้ด้วยยาฆ่าเชื้อรา ซึ่งมีทั้งแบบยาครีม ยาเหน็บช่องคลอด และยารับประทาน ตัวยา Metronidazole หรือ Clotrimazole
การติดเชื้อแบคทีเรีย
การติดเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial Vaginosis) เกิดขึ้นจากบริเวณช่องคลอดมีจำนวนแบคทีเรียที่ไม่ดีมากกว่าจำนวนแบคทีเรียแลคโตบาซิลลัส ซึ่งเป็นแบคทีเรียเจ้าถิ่น ทำให้ขาดสมดุลภายในช่องคลอดและเกิดการติดเชื้อได้ อาจมีสาเหตุจากการล้างสวนช่องคลอด การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือการมีคู่นอนหลายคู่ก็ได้ โดยการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอดจะต้องรักษาใข้เจลกรดแลคติก
การติดเชื้อทริโคโมแนส
การติดเชื้อทริโคโมแนส (Trichomoniasis) พยาธิในช่องคลอด เกิดจากการติดเชื้อโปรโตซัว Trichomonas Vaginals (TV) ที่มักติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์ ต้องรักษาโดยการใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น Metronidazole
3. แนวทางป้องกันอาการผิดปกติของตกขาว
- ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ งดสุราและการสูบบุหรี่
- หลีกเลี่ยงความอับชื้น ไม่ใส่กางเกงในรัดเกินไป เพราะจะทำให้เกิดการอับชื้นและเกิดเชื้อรา และการติดเชื้อได้ง่าย
- ทำความสะอาดช่องคลอดแต่พอดี ไม่จำเป็นต้องทำความสะอาดมากเกินไป เพราะจะทำให้ผิวบริเวณช่องคลอดบาง และอาจทำให้เชื้อแบคทีเรียเจ้าถิ่นตายและติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
- ระมัดระวังอาการผิดปกติของตกขาวเมื่อป่วยเป็นไข้หวัดที่ต้องทานยาฆ่าเชื้อ เพราะยาฆ่าเชื้อจะทำลายเชื้อแบคทีเรียเจ้าถิ่นบริเวณช่องคลอดไปด้วย ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย
- ควรล้างมือและทำความสะอาดบริเวณช่องคลอดให้สะอาดก่อนทายาบริเวณนั้น ๆ ทุกครั้งไม่ว่าจะเป็นยารูปแบบครีม หรือยาเหน็บเพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ
4. พฤติกรรมเสี่ยงต่อการ “ติดเชื้อในช่องคลอด” ที่คุณควรเลี่ยง
แบ่งเป็น
- พฤติกรรม ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ช่องคลอดติดเชื้อแบคทีเรีย
- การสวนล้างช่องคลอด
- การใช้แผ่นอนามัยที่มีส่วนผสมของน้ำหอม
- การคุมกำเนิดโดยใส่ห่วงอนามัย
- การเปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ
- การสวมกางเกง กระโปรง ที่รัดแน่นจนเกินไป
- การดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ รับประทานของหมักดองหรืออาหารคาวจัดก็อาจส่งผลให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอดขึ้นได้
- พฤติกรรม ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ช่องคลอดติดเชื้อรา
- การสวนล้างช่องคลอด
- ภาวะอ้วน อาจเป็นสาเหตุให้เกิดการอับชื้นจากเหงื่อที่ออกในช่องระหว่างวันค่ะ
- การใช้แผ่นอนามัยที่มีส่วนผสมของน้ำหอม
- การคุมกำเนิดโดยใส่ห่วงอนามัย
- ภาวะอับชื้น
- ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ หรือโรคประจำตัวเช่น โรคเบาหวาน โรคทางภูมิคุ้มกันที่ได้รับยาสเตียร์รอยด์ เป็นต้น
- สภาวะแวดล้อม อากาศที่ร้อนชื้น การใส่อางเกงรักแน่นเกิดไป เป็นต้น
หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการปกติของตกขาว เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นค่ะ
5. การป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ
- ไม่สวนล้างช่องคลอด
- ลดการใช้น้ำยาอนามัยให้มากที่สุด ใช้น้ำเปล่าในการล้างทำความสะอาด
- เลี่ยงการใช้แผ่นอนามัยแบบมีน้ำหอม และแผ่นอนามัย
- งดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะรักษาหาย หรือใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง
- ดูแลความสะอาดร่างกาย เสื้อผ้า ชุดชั้นใน ไม่สวมใส่ชุดที่อับชื้น รวมถึงกางเกง กระโปรงที่รัดแน่นจนเกินไป ไม่ใช้ชุดชั้นในร่วมกับผู้อื่น
- งดการดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างที่ทำการรักษา
ที่มา : คาเนสเทน (canesten.co.th)


