มะเร็งปากมดลูกป้องกันได้อย่างไร ระยะก่อนมะเร็ง ตรวจพบและรักษาได้อย่างไรบ้าง

โดย พญ. รัตน์นภัส ตั้งมะโนมานะ

หมอสูติ-นรีเวช เฉพาะทางด้านมะเร็งสตรี

หลายคนคงมีความสนใจเรื่องการป้องกันโรคมะเร็ง และมะเร็งปากมดลูกก็พบบ่อยเป็นอันดับต้นๆ ในปี 2023 พบว่า มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่พบบ่อยเป็นอันดับที่สอง รองมาจากมะเร็งเต้านมเลยทีเดียวค่ะ และคงจะดีไม่น้อยถ้ามะเร็งปากมดลูก สามารถป้องกันได้ใช่มั้ยค่ะ 

มีหลายงายวิจัยพบว่ามะเร็งปากมดลูก เกือบทั้งหมด หรือประมาณ 90-95 % มาจากเชื้อไวรัสที่เรียกว่า เฮชพีวี (HPV) ไวรัส ดังนั้น ปัจจุบันจึงมีคำแนะนำอย่างแพร่หลายว่า มะเร็งปากมดลูก สามารถป้องกันได้ โดยเราจะทำการ ฉีดวัคซีนมะเร็งปากมดลูก เพื่อป้องกันตัวเชื้อเฮชพีวี (HPV) นั่นเองค่ะ 

เชื้อ HPV ป้องกันได้ โดย การฉีดวัคซีนมะเร็งปากมดลูก นั่นเองค่ะ ในปัจจุบัน นิยม 4 และ 9 สายพันธุ์ โดยในผู้ใหญ่ (อายุมากกว่า 15 ปี) วัคซีนมะเร็งปากมดลูก ชนิด 4 สายพันธุ์ 3 เข็ม จะป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ 70 เปอร์เซนต์ ส่วนวัคซีนมะเร็งปากมดลูก ชนิด 9 สายพันธุ์ 3 เข็ม จะป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ถึง 94 เปอร์เซนต์ ในผู้หญิง และป้องกันมะเร็งช่องปากและลำคอ 95 เปอร์เซนต์ ในผู้ชาย โดยไม่ต้องฉีดซ้ำค่ะ 

  • คนที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว ฉีดได้ไหม 
    • ได้ค่ะ วัคซีนจะสามารภป้องกันเชื้อก่อมะเร็งปากมดลูกที่ยังไม่ได้ติดได้ค่ะ 
  • อายุที่ฉีดได้ 
    • แนะนำฉีดเริ่มได้ตั้งแต่อายุ 9 ปีขึ้นไปค่ะ ตามงานวิจัย วัคซีนยังมีประโยชน์ในผู้ที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว มีอายุมากถึง 45 ปี ก็ยังไมีประโยชน์ค่ะ  ผู้ที่อายุมากกว่า 45 ปี รวมถึงผู้ที่ติดเชื้อHPV ก็สามารถฉีดได้อย่างไม่มีภาวะแทรกซ้อน แต่ประโยชน์ก็จะน้อยลงไปค่ะ 
  • วัคซีน HPV ในเด็ก 
    • เริ่มฉีดที่อายุ 9-14 ปี เลยค่ะ โดย ฉีดเพียง 2 เข็ม ห่างกัน 6-12 เดือนค่ะ เนื่องจากภูมิคุ้มกันจะขึ้นไวและดีกว่าการฉีดในผู้ใหญ่ที่ได้รับเชื้อ HPV มาแล้ว หมดจึงแนะนำให้ฉีดในช่วงวัยนี้มากที่สุดค่ะ 
  • เซลล์ปากมดลูกผิดปกติแล้ว ฉีดวัคซีนได้ไหม 
    • ฉีดได้ค่ะ สามารถป้องกันความเสี่ยงของการรับเชื้อไวรัส HPV ที่ยังไม่ได้ติดได้เช่นกันค่ะ 
  • ต้องตรวจมะเร็งปากมดลูกก่อนฉีดวัคซีน หรือรอผลตรวจมะเร็งปากมดลูกหรือไม่
    • ไม่จำเป็นค่ะ สามารถฉีดได้เลย ยิ่งฉีดเร็ว ป้องกันได้ไวค่ะ 
  • ต้องระวังอะไรบ้างในการมาฉีดวัคซีนมะเร็งปากมดลูก 
    • อย่างแรกเลยต้องแน่ใจค่ะ ว่าไม่อยู่ในช่วงระหว่างการตั้งครรภ์ หากต้องการตั้งครรภ์ ให้คุมกำเนิด และเว้นระยะไปหลังจากวัคซีนครบก่อนค่ะ หากตั้งครรภ์ในช่วงเวลาที่ฉีดวัคซีนก็ไม่ต้องเป็นกังวลไปค่ะ ฝากครรภ์ตามปกติ และเว้นการฉีดวัคซีนออกไปได้ค่ะ เนื่องจากยังมีการศึกษาน้อย เรื่องผลของวัคซีนต่อทารกในครรภ์ หมอจึงยังไม่แนะนำให้มีบุตรในช่วงที่ฉีดวัคซีนค่ะ 
  • ผลข้างเคียงของวัคซีน 
    • น้อยมากค่ะ ปวดตึงแขนข้างที่ฉีดยาเพียงเล็กน้อย 
  • แพคเกจวัคซีนมะเร็งปากมดลูก ชนิด 4 สายพันธุ์ 3 เข็ม ราคา 8,500 บาท 
  • แพคเกจวัคซีนมะเร็งปากมดลูก ชนิด 9 สายพันธุ์ 3 เข็ม ราคา 19,500 บาท 

แพทย์จะนัดฉีดยา อีก 2 และ 6 เดือนต่อไปหลังจากวัคซีนเข็มแรกค่ะ 

*ราคาอาจจะมีการเปลี่ยนแปลง โดยสามารถสอบถามคลินิกได้ทาง Line OA ค่ะ 

สามารถตรวจได้ ตั้งแต่อายุ 30 ปี หรือหากมีเพศสัมพันธ์แล้ว หมอแนะนำมาตรวจก่อนที่อายุ 25 ปีค่ะ เพื่อความมั่นใจในการการตรวจ ที่คลินิกมีหมอนรีเวชผู้หญิง เฉพาะทางด้านมะเร็งสตรี ให้คำปรึกษาสาวๆโดยเฉพาะเลยค่ะ 

“สาวๆที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ก็ตรวจมะเร็งปากมดลูกได้ค่ะ หากใครที่เขินอายการตรวจภายใน หมอก็มีทางเลือกในการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกได้เอง (Self-HPV testing) ซึ่งเหมือนกันการตรวจswabหาเชื้อโควิท ทำได้ง่ายไม่เจ็บตัว และผลคัดกรองที่ได้ก็แม่นยำค่ะ”

พญ.รัตน์นภัส ตั้งมะโนมานะ หมอสูติ-นรีเวช เฉพาะทางมะเร็งสตรี

  • แพคเกจตรวจมะเร็งปากมดลูกด้วยตนเอง (Self-HPV testing) ราคา 1,500 บาท (ไม่พบแพทย์ แปลผลการตรวจโดยแพทย์เฉพาะทางด้านมะเร็งสตรี)
  • แพคเกจตรวจภายใน และการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก โดยหมอผู้หญิง การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก มี 3 แบบ
  1. แบบชนิดน้ำ (Liquid based) หาเซลล์ผิดปกติ ราคา 2,400 บาท
  2. แบบหาเชื้อ HPV ราคา 3,400 บาท
  3. แบบตรวจหาทั้งเซลล์ และเชื้อ HPV (Co-testing)  ราคา 3,900 บาท

หมอขอแบ่งง่ายๆ เป็น 2 ระยะค่ะ 

  1. ระยะเซลล์ผิดปกติ ขั้นต่ำ (ความเสี่ยงการเป็นมะเร็งต่ำ)

– ระยะเซลล์ผิดปกติ เล็กน้อย (ASC-US, Atypical Squamous Cells of Undetermined Significance) พบบ่อยที่สุด รุนแรงน้อยสุด หายได้มากสุดหากไม่พบการติดเชื้อHPV ร่วมด้วย และมีความเสี่ยงในการเกิดเซลลืผิดปกติขั้นสูง CIN3 ภายใน 5ปี เพียง 3% แต่ในกรณีพบการติดเชื้อ HPV ร่วมด้วยสูงขึ้น หมอจึงแนะนำตรวจหาเชื้อ HPV ร่วมด้วยค่ะ 

– ระยะเซลล์ผิดปกติ เกรด 1 (Low-Grade Squamous Intraepithelial Lesion,LSIL) หรือที่เรียกว่า ซีไอเอ็นวัน (CIN I , cervical intra-epithelial neoplasia)

มีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ประมาณ 1/3 ของชั้นล่างของเยื่อบุผิวปากมดลูก ซึ่งระยะนี้ผู้ป่วยประมาณ 80% จะหายจากโรคนี้ไปได้เองในระยะเวลาประมาณ 1 ปี การตรวจพบภาวะนี้ จากการส่องกล้องขยายปากมดลูกและ/หรือการตัดชิ้นเนื้อตรวจ(Colposcopic examination/biopsy) ในครั้งแรกอาจจะไม่ต้องการรักษาอะไรเลย เพียงการนัดตรวจติดตามเป็นระยะ ๆ ก็พอเพียง แต่ถ้าพบว่ายังคงมีรอยโรคเหลืออยู่การรักษามีหลายวิธี เช่น การจี้เย็น จี้ด้วยไฟฟ้า หรือเลเซอร์ ซึ่งให้ผลใกล้เคียงกัน หรืออาจจะใช้การตัดปากมดลูกออกด้วยห่วงไฟฟ้าก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นกับการตรวจพบและดุลยพินิจของแพทย์

  1. ระยะเซลล์ผิดปกติ ขั้นสูง (CIN 2, CIN 3, ASC-H, AIS หรือ AGC) หรือ ความเสี่ยงการเป็นมะเร็งสูง
  • สำหรับระยะก่อนมะเร็งเกรด 2 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เยื่อบุปากมดลูกถึง 2/3 จากชั้นล่างและเกรด 3 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ตลอดความหนาของเยื่อบุปากมดลูกนั้นแพทย์มักจะให้การรักษาเลย เพราะการปล่อยทิ้งไว้อาจจะพัฒนากลายเป็นมะเร็งปากมดลูกในที่สุด 
  • เมื่อได้รับการตรวจคัดกรองว่าผิดปกติ ส่วนใหญ่แพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยโดยการ ส่องกล้องขยายปากมดลูกและ/หรือการตัดชิ้นเนื้อตรวจ(Colposcopic examination/biopsy) และมีการการรักษา คือ การตัดปากมดลูกออกด้วยห่วงไฟฟ้า ต่อไป ซึ่งหมอมะเร็งสตรีจะทำการพิจารณาตามความเหมาะสมค่ะ เช่น ในผู้ป่วยบางรายที่มีความเสี่ยงต่อการมีเซลล์ผิดปกติระยะที่ 3 (HSIL) ร่วมกับมีการติดเชื้อเฮชพีวีสายพันธุ์ 16 แพทย์อาจพิจารณาทำการตัดปากมดลูกด้วยห่วงไฟฟ้าเลย (Immediate treatment) เนื่องจากมีความเสี่ยงของเซลลืที่ผิดปกติได้สูงค่ะ 
  • เซลล์ปากมดลูกที่มีความผิดปกติขึ้นสูงบางชนิด อาจต้องมีการเก็บชิ้นเนื้อที่คอหรือโพรงมดลูกร่วมดด้วย หรือทำการตัดมดลูก ในกรณีที่ผลเป็นเซลล์ที่อาจมีโรยโรคลึกเข้าไปด้านบนของตัวมดลูก หรือในกรณีที่ไม่สามารถตัดปากมดลูกได้ค่ะ 
  • ทั้งหมดนี้ หมอมะเร็งนรีเวชจะเป็นคนประเมินวินิจฉัย และรักษาต่อไปค่ะ 

ปากมดลูกจะมีระยะก่อนมะเร็งจะพัฒนาเป็นมะเร็งมักจะใช้เวลายาวประมาณ 10 ปี ความผิดปกติเหล่านี้สามารถตรวจพบได้ โดยการตรวจคัดกรองโดยการตรวจมะเร็งปากมดลูก โดยทั่วไปแนะนำให้รับการตรวจ 2 ปีครั้ง สำหรับการตรวจ และถ้าสามารถตรวจพบในระยะนี้การรักษาโรคกระทำได้ง่าย ค่าใช้จ่ายต่ำ โอกาสหายจากโรคเกือบ 100% และภาวะแทรกซ้อนของการรักษาก็มีต่ำมาก ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีและยังอาจเก็บมดลูกสำหรับการตั้งครรภ์ได้ แต่ยังคงจำเป็นจะต้องรับการตรวจติดตามหลังการรักษาตามแพทย์นัดต่อไปค่ะ 

สรุป มะเร็งปากมดลูกสามารตถป้องกันได้ หากเรามีการป้องกัน ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก และรักษาระยะก่อนมะเร็งค่ะ

Scroll to Top