ปวดท้องเมนส์… ปวดประจำเดือน… บีบอนด์คลินิก มีคำตอบ ….

โดย พญ. รัตน์นภัส ตั้งมะโนมานะ 

สูตินรีแพทย์ เฉพาะทางด้านโรคมะเร็งในผู้หญิง

  • คือ ความเจ็บปวดที่เกี่ยวข้องกับการมีประจำเดือน. มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้หญิงที่มีการมีประจำเดือน จะมีความเจ็บปวดบ้างในระยะเวลา 1 ถึง 2 วันต่อเดือน โดยทั่วไปความเจ็บปวดจะเบา แต่สำหรับผู้หญิงบางคน ความเจ็บปวดจะรุนแรงถึงขนาดที่ทำให้สาวๆ ต้องหยุดงานกันเลยทีเดียวค่ะ 

อาการเป็นอย่างไรบ้าง 

ส่วนใหญ่ ผู้หญิงจะมีอาการปวดประจำเดือนในบางรอบได้ค่ะ แต่อาการปวดที่ต้องหาสาเหตุ คือ การปวดประจำเดือนรุนแรงที่มาพร้อมกับอาการอื่น ๆ เช่น ท้องเสีย, คลื่นไส้, อาเจียน, ปวดหัว และเวียนหัว

ปวดท้องเมนส์… มีกี่ประเภท? บีบอนด์คลินิกมีคำตอบ…

มี 2 ประเภท คือ การปวดประจำเดือนแบบไม่ทราบสาเหตุ และ  การปวดประจำเดือนแบบไม่ทราบสาเหตุทราบสาเหตุ เช่น ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรือ ช็อคโกแลตซีสต์

  1.  การปวดประจำเดือนแบบไม่ทราบสาเหตุ (Primary dysmenorrhea)

คือ การปวดที่เกิดขึ้นก่อนหรือระหว่างรอบประจำเดือน เกิดจากสารเคมีธรรมชาติ ที่ที่ให้เกิดอาการปวดประจำเดือนชื่อว่า พรอสตาแกลนดิน (prostaglandins) ซึ่งถูกสร้างขึ้นในชั้นเยื่อบริเวณมดลูก ทำให้กล้ามเนื้อและหลอดเลือดของมดลูกหดหัว จึงมีอาการปวดขึ้นมานั่นเองค่ะ ซึ่งการปวดมักมี 1-2 วันแรกของรอบเดือนเนื่องจากระดับ  พรอสตาแกลนดิน (prostaglandins) สูง นั่นเองค่ะ 

อายุที่เริ่มปวดประจำเดือน แบบไม่ทราบสาเหตุ  ?

เริ่มต้นเร็ว หลังจากที่สาวๆเริ่มมีรอบประจำเดือน ซึ่งการปวดประจำเดือนแบบไม่ทราบสาเหตุ มักจะปวดเมนส์น้อยลงเมื่ออายุมากขึ้นหรือหลังการคลอดบุตร

  1.  การปวดประจำเดือนแบบทราบสาเหตุ (Secondary dysmenorrhea)

เกิดจากความผิดปกติในอวัยวะที่ อาการปวดประจำเดือน มักแย่ลงเมื่ออายุมากขึ้น และมักจะปวดประจำเดือนยาวนานกว่าการอาการปวดประจำเดือนปกติ เช่น การปวดประจำเดือนเริ่มขึ้นหลายวันก่อนมีประจำเดือน อาจเพิ่มขึ้นเมื่อทีประจำเดือนต่อเนื่อง และอาจไม่หายไปหลังจากประจำเดือนหมด มีอาการปวดระหว่างรอบเดือนได้ 

หมอมักตรวจพบโรคต่างๆ ดังนี้ค่ะ 

  • โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ เกิดขึ้นเมื่อเนื้อเยื่อที่คล้ายกับชั้นเยื่อบุโพรงมดลูกไปอยู่ในส่วนอื่นของร่างกาย เช่น ในรังไข่, ท่อไข่หรือต่อมลูกตัวยาว, ด้านหลังของมดลูก และที่กระเพาะปัสสาวะ บางคนไปที่ปอด หรือสะดือได้ด้วยค่ะ  หากเจอเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ในกล้ามเนื้อมดลูก มักจะเกิดภาวะมดลูกโต (Adenomyosis) หรือ ถ้าเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่อยู่ในรังไข่ จะเกิดเป็น ซีสต์มีมีเลือดเก่าๆอยู่ภายใน ที่เรียกว่า ช็อคโลแลตซีสต์ (Chocolate cyst) นั่นเองค่ะ 

ชั้นเยื่อบุโพรงมดลูก จะสลายและเลือดออกตามการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน การมีประจำเดือนจะทำให้เกิดการเจ็บปวดของโรค บางรายระหว่างรอบประจำเดือนก็ปวดได้ค่ะ เนื่องจากการมีประจำเดือนทำให้เกิดการอักเสบ การอับเสบทำให้เกิดผังพืดในเนื้อเยื่อ (adhesions) ที่ไม่ยืดหยุ่นเหมาะอวัยวะปกติ ซึ่งการที่เราปล่อยให้มีภาวะนี้มากๆจะเกิดอาการปวดมากขึ้นตามไปด้วยค่ะ

  • โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ในกล้ามเนื้อมดลูก (Adenomyosis) เกิดขึ้นเมื่อเนื้อเยื่อในโพรงมดลูก เริ่มเติบโตเข้าไปสู่ภายในผนังกล้ามเนื้อของมดลูก สภาวะนี้มักพบมากในผู้หญิงที่มีอายุมากและเคยคลอดลูกค่ะ
  • เนื้องอกมดลูก (Uterine Fibroid หรือ Myoma uteri) เป็นก้อนเนื้อที่เกิดขึ้นภายนอก, ภายใน, หรือบนผนังของมดลูก การตั้งต้นที่ตำแหน่งนี้สามารถทำให้เกิดความเจ็บปวด เนื้องอกมดลูก
  • ปัญหาของมดลูก, ท่อไข่, และอวัยวะสืบพันธ์อื่น ๆ ที่ความผิดปกติแต่กำเนิดอาจทำให้การเจ็บปวดระหว่างรอบประจำเดือนได้ค่ะ
  • สภาวะอื่น ๆ — เช่น โรค Crohn และโรคทางระบบทางเดินปัสสาวะ

หากมีการปวดเมนส์หนักๆ ต้องพบแพทย์ ใช่หรือไม่? 

ใช่ค่ะ หากมีอาการปวดประจำเดือน ควรพูดคุยเกี่ยวกับอาการปวด และตรวจร่างกายเพิ่มเติม โดยหมอสูตินรีเวชใกล้บ้าน หมอจะทำการตรวจภายใน และอัลตร้าซาวน์หาสาเหตุเพิ่มเติมให้ค่ะ แยกโรคเป็นปวดประจำเดือนแบบมี/ไม่มีสาเหตุ และนำไปสู่การรักษาโดยการใช้ยา ซื่งจะกล่าวต่อไปค่ะ 

“ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ กล่าวถึง โรคปวดประจำเดือนว่าเป็นหนึ่งในอาการของโรคเรื้อรัง(Chronic disease) เปรียบเสมือนโรคเบาหวาน ความดัน เลยค่ะ เพราะถ้าไม่รักษาตั้งแต่แรก อาการจะรุนแรงขึ้น และกลายเป็นโรคที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย การที่สาวๆต้องหยุดงาน กินยาเรื้อรัง ปวดเวลามีเพศสัมพันธ์ และ ปวดท้องน้อยเรื้องรัง ท้องอืด การขับถ่ายผิดปกติ อาจทำให้เกิดภาวะเครียด หรือมีบุตรยากได้ในอนาคต ค่ะ” ดังนั้น การรักษาหมดจึงแนะนำการรักษาเชิง “ป้องกัน” ไม่ให้ตัวโรคเป็นมาก โดยการใช้ยาฮอร์โมน แทนการกินยาแก้ปวดเป็นรอบๆนั่นเองค่ะ 

ขั้นตอนแรกในการรักษาอาจเป็นการใช้ยา หากใช้ยาไม่ดีขึ้น  ควรเน้นการค้นหาสาเหตุของอาการปวดประจำเดือนค่ะ 

การตรวจเพื่อหาสาเหตุ การปวดประจำเดือน

ขั้นแรก ตรวจภายใน และอัลตร้าซาวน์ หากไม่ดีขึ้นจะแนะนำส่องกล้องเพื่อหารอยโรคค่ะ 

ขั้นที่สอง การส่องกล้องเพื่อหาสาเหตุ (laparoscopy) มักทำให้รายที่มาด้วยภาวะมีบุตรยาก เพราะรักษาด้วยยาฮอร์โมนไม่ได้ค่ะ (เพราะส่วนใหญ่ยาฮอร์โมนที่หมอใช้กันคือยากลุ่มที่มีฤทธิ์คุมกำเนิดร่วมด้วยค่ะ)

การส่องกล้องเพื่อหาสาเหตุ (laparoscopy) ทำโดยการเปิดเจาะเล็ก ๆ ใกล้ปุ่มสะดือ และแทรกกล้องที่เบาและมีแสงไฟเข้าไปในท้อง โดยมีการดมยาสลบระหว่างการทำค่ะ 

  1. ยา 

เป็นขั้นตอนแรกที่ใช้ในการรักษาความเจ็บปวดระหว่างรอบประจำเดือน ยาแก้ปวด มักใช้ ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เพื่อลดสารที่ก่อให้เกิดการปวด (Prostaglandins) ซึ่งจะทำให้อาการปวดระหว่างรอบประจำเดือนลดลง ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ส่วนใหญ่เช่น ibuprofen, ponstan และ naproxen สามารถซื้อได้โดยไม่ต้องใช้ใบสั่งยา

ยาแก้ปวด ลดอักเสบ เป็นการยับยั้งสารการปวด ดังนั้น เป็นยารักษา “อาการ” ไม่ใช่ยา “รักษาโรค” ที่เกิดจากปวดประจำเดือน และ ไม่ช่วย “หยุด” โรคที่รุนแรงขึ้นในอนาคต นะคะ ดังนั้น พูดง่ายคือการกินยยาแก้ปวด เป็นการแก้ปัญหาที่ “ปลายเหตุ” นั่นเองค่ะ ถ้าทราบสาเหตุหรือปวดประจำเดือนเรื้อรังควรได้รับการแก้ที่ “ต้นเหตุ” หรือตัวโรคเพื่อไม่ให้อาการเป็นมากค่ะ 

  • ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ใช้อย่างไร?

ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) มีผลดีที่สุดถ้ารับประทานตั้งแต่วันแรกของรอบประจำเดือนหรือเมื่อมีอาการปวด คุณจะรับประทานมันประมาณ 1 หรือ 2 วัน 

ข้อห้ามของยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) : ผู้หญิงที่มีภาวะเลือดผิดปกติ, หอบหืด, แพ้ยาแอสไพริน, ภาวะตับวาย, กระเพาะอาการอักเสบหรือโรคแผลในกระเพาะ ไม่ควรใช้ยานี้ 

  • ยาฮอรโมนที่ใช้ในการรักษาปวดประจำเดือน หรือโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ 

มักใช้ วิธีการควบคุมการเจริญเติบโตของเยื่อบุโพรงมดลูกโดยยาที่มีฮอร์โมน progestin อาจจะมี estrogen ร่วมด้วย เพื่อให้มีรอบเดือนตามปกติ เช่น ยาคุมกำเนิด, ยาฉีดคุมกำเนิด และการใส่ห่วงคุมกำเนิดชนิดมียาฮอร์โมน (Levonorgestrel intrauterine device (IUD), LNG-IUD, Mirena®

IUD สามารถใช้ในการรักษาอาการปวดประจำเดือน ได้หรือไม่?

ได้ค่ะ เลือกเป็น LNG-IUD, Mirena® ซึ่งเป็นห่วงที่มียาฮอร์โมนค่ะ การไหลเวียนเลือดระหว่างรอบประจำเดือนจะเบาลงเมื่อใส่ห่วงฮอร์โมนชนิดนี้ด้วยค่ะ แต่ราคาค่อนข้างแพง และไม่แนะนำในกรณีเป็นรอยโรคที่อยู่นอกมดลูกค่ะ 

ท้องไม่พร้อม…จากความไม่รู้ ป้องกันได้โดยการคุมกำเนิด …

มีค่ะ การฝังเข็ม, การกดจุดฝังเข็ม, และการรักษาโดยกระตุ้นปลายประสาท อาจมีประโยชน์ในการรักษาความเจ็บปวดระหว่างรอบประจำเดือน การทำกายภาพฟื้นฟูกล้ามเนื้อโดยการกดจุดผังพืด อาจช่วยลดความเจ็บปวดได้ด้วยค่ะ 

วิธีการอื่นๆ เช่น การทำจิตบำบัดลดการปวด การออกกำลังกายเพื่อคลายกล้ามเนื้อ เพื่อให้ร่างกายเรียนรู้เกี่ยวกับความเจ็บปวด ก็อาจจะช่วยได้ค่ะ 

กินอะไรดี เพื่อช่วยลดการปวดประจำเดือน ? 

วิตามินบี 1 หรือ แมกนีเซียม อาจจะช่วยได้ แต่การศึกษายังไม่เพียงพอในการสรุปคำแนะนำนี้นะคะ

ปฏิบัติตัวอย่างไรดี เพื่อช่วยลดการปวดประจำเดือน ? 

การออกกำลังกาย—ออกกำลังกายเกือบทุกวันสามารถทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น การออกกำลังกายแอโรบิก เช่น เดิน, วิ่ง, ปั่นจักรยาน, หรือว่ายน้ำ ช่วยสร้างสารเคมีที่บล็อกความเจ็บปวด

ใช้ความร้อน—การอาบน้ำอุ่นหรือวางหมอนร้อนหรือขวดน้ำร้อนบนท้องของคุณสามารถช่วยบรรเทาความเจ็บปวด

การนอนหลับ—การได้รับนอนหลับเพียงพอก่อนและระหว่างรอบประจำเดือนเป็นสิ่งสำคัญ การพักผ่อนเพียงพอสามารถช่วยคุณจัดการกับความไม่สบายตัวกระหว่างรอบเดือนได้ค่ะ 

การผ่อนคลาย—การทำสมาธิหรือฝึกโยคะยังสามารถช่วยจัดการกับความเจ็บปวดได้ดีมากขึ้นค่ะ 

หมอบอกว่า มี ก้อนในมดลูก ทำอย่างไรดี ? บีบอนด์คลินิกมีคำตอบค่ะ 

หากก้อนในมดลูกเป็นสาเหตุของอาการปวดประจำเดือน ขั้นแรกอาจเป็นการลองใช้ NSAIDs, วิธีการควบคุมการเจริญเติบโตของฮอร์โมน หรือ GnRH agonists ก่อนค่ะ  หากวิธีเหล่านี้ไม่ได้ผล อาจแนะนำการรักษาด้วยวิธีอื่นค่ะ 

หมอบอกว่า ก้อนในมดลูก มีทางเลือกที่ “ไม่” ต้องผ่าตัด มั้ยคะ?

มีค่ะ 

  • บีบอนด์คลินิก ขอเสนอการรักษาด้วยเครื่อง HIFU  (High Intensity Focused Ultrasound Ablation System) ซึ่งมีแผลเล็ก เจ็บน้อย และฟื้นตัวไว เหมาะสำหรับเป็นทางเลือกในคนที่ยังต้องการมีบุตร ค่ะ 

เนื้องอกมดลูก (ไม่ผ่าตัด)

  • การอุดเส้นเลือดที่มดลูก (Uterine Artery Embolization, UAE) 

คือการนำสารทางการแพทย์เข้าไปบล็อกทางเลือดไปยังมดลูก จะหยุดการไหลเวียนของเลือดซึ่งทำให้ก้อนในมดลูกเจริญเติบโต หลังจากทำ ส่วนใหญ่ของผู้หญิงจะมีประจำเดือนปกติ ในบางผู้หญิง อาจมีประจำเดือนขาดหาย ซึ่งในบทความนี้ หมอขอยังไม่พูดถึงวิธีนี้นะคะ เนื่องจากต้องทำในโรงพยาบาลและวิธีนี้อาจมีผลต่อการมีลูกในอนาคตได้ค่ะ

Scroll to Top